การที่จะประสบความสำเร็จได้นอกจากเราจะต้องลงมือทำแล้ว การเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของบุคคลที่น่าสนใจก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้คุณไปไกลได้มากกว่าที่เคย กล่าวถึงมาร์ค เอลเลียต ซักเกอร์เบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก (Facebook) และซีอีโอบริหารสังคมตัวฟ้าที่เชื่อมฟ้าทั้งโลกให้กลายเป็นแผ่นเดียวกัน
ความผิดปกติในการมองเห็นไม่เป็นอุปสรรค
แม้ว่ามาร์คจะตาบอดสี มองเห็นสีแดงและสีเขียวไม่ชัด นั่นมิได้เป็นอุปสรรคขวางกั้นให้เขาสร้างสรรค์สิ่งใหม่แต่อย่างใด เขาเรียนโปรแกรมพื้นฐานตั้งแต่ประถมศึกษาตอนปลาย
และเริ่มจากการสร้างโปรแกรมตั้งแต่เด็ก มีเป้าหมายเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ระหว่างคลินิกทันตแพทย์ของคุณพ่อและบ้านของเขาให้สื่อสารกันได้ เพิ่มความสะดวกในทำงานให้ง่าย ภายใต้ชื่อว่า ZuckNet สันนิษฐานว่าน่าจะตั้งจากนามสกุลของเขา เรียกได้ว่า มาร์คฉายแววปราดเปรื่องตั้งแต่วัยเยาว์เลยทีเดียว
เฟซบุ๊ก (Facebook) ก่อกำเนิดขึ้นจากความซ่า บ้าบิ่นของมาร์คในช่วงที่เรียนอยู่ฮาร์วาร์ด และต้องการสร้างหนังสือรุ่นออนไลน์ขณะที่มหาวิทยาลัยไม่เห็นด้วย แต่เขาก็สวมวิญญาณแฮ็กเกอร์ดึงข้อมูลออกมาสร้างจนได้โดยใช้ชื่อว่าเฟซบุ๊ก เป็นหนังสือรวมรายชื่อและภาพนักศึกษา พร้อมกับทำเว็บโหวตความฮอตของเพื่อน ๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยอีกด้วยซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก แต่งานนี้ฮาร์วาร์ดไม่ปลื้มขอปิดเว็บไซต์นี้
มาร์ค ขอสู้อีกครั้ง
ด้วยความไม่ยอมแพ้ และใจสู้ ในปี 2004 มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ปิ๊งไอเดียสร้างสังคมใหม่สมุดเล่มใหญ่กว่าเดิมร่วมกับเพื่อนของเขา และความตั้งใจของเขาก็เป็นผลสำเร็จ เมื่อ ‘เฟซบุ๊ก’ กลายเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คเชื่อมต่อผู้คน สร้างสังคม เป็นไดอารี่บันทึกและความทรงจำความคิดของผู้คนทั่วโลกไปโดยปริยาย แถมสร้างรายได้มหาศาล
ทำความรู้ความอัจฉริยะสร้างได้ของมาร์คไปแล้ว เรามาเจาะลึกเรียนรู้การทำงาน และความมุ่งมั่นของเจ้าพ่อเฟซบุ๊กเพื่อปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันเถอะ อ้างอิงจากคำกล่าวที่ว่า “Facebook was not originally created to be company. It was built to accomplish a social mission to make the world more open and connected” เห็นได้ชัดว่า มาร์คหมายมั่นปั้นมือ สร้างให้สังคมเปิดกว้างและเชื่อมต่อกันได้มากกว่าเดิม
ด้วยภารกิจยิ่งใหญ่ย่อมมากับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง ถึงจะประสบความสำเร็จถูกยกให้เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดในโลก ด้วยทรัพย์สินกว่า 76,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลมิถุนายน 2018) และติดอันดับ 5 มหาเศรษฐีรวยที่สุดในโลกจากการจัดอันดับนิตยสารฟอร์บ (Forbes)
ล้มกี่ครั้งก็ยังเป็น มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก
จากการสร้างอาณาจักรธุรกิจบนลำแข้งของตัวเอง เมื่อความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ยังมีหนามของกุหลาบ ล่าสุด มาร์คในวัย 34 ปี ต้องเข้าพบสภาคองเกรสเหตุมีผู้คนถูกล้วงข้อมูลลับจากเฟซบุ๊กกว่า 87 ล้านราย และข้อมูลส่วนตัวบนโซเชียลถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง
ขณะที่ความเชื่อมั่นถูกสั่นคลอน ก่อให้เกิดแคมเปญติดแฮชแทค #DeleteFacebook และพบว่ามีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งขอร่วมด้วยความกังวลดังกล่าว นั่นกลายเป็นประเด็นร้อนแรงแชร์ว่อนทั่วหน้าโซเชียล และมาร์ค เลือกยอมรับผิดแบบแมน ๆ เลยว่า “นั่นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ มันเป็นความผิดพลาดของผม และผมขอโทษ” นับต่อจากนี้ เฟซบุ๊กจะก้าวเดินต่อในทิศทางไหนก็มีแต่มาร์คเท่านั้นที่กุมชะตาเอาไว้
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากนักธุรกิจชาวยิว คือ หัวใจที่ไม่ยอมแพ้ บวกกับความมุ่งมั่นต้องการทำให้ความฝันกลายเป็นจริง พร้อมกับความรับผิดชอบต่อสังคม หากเราทำผิดจริง ก็ต้องกล่าวคำขอโทษ และแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้จากเจ้าพ่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ผู้ย่อโลกทั้งใบไว้ในแอปพลิเคชันเดียว
ดังนั้น ถ้าคุณมีใจที่มุ่งมั่นในภารกิจใด จงอย่ายอมแพ้กับอุปสรรคที่เข้ามา จงก้าวต่อไปและเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นจริง Move On ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน
แหล่งข้อมูล:
https://en.wikipedia.org/wiki/Mark_Zuckerberg
https://www.nytimes.com/2012/02/02/technology/social-mission-vision-meets-wall-street.html https://www.bbc.com/thai/international-43721853
https://www.forbes.com/profile/mark-zuckerberg/